สวัสดีค่ะ
อ่ะ วันนี้กินข้าวเสร็จแล้วยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย
ช่วงนี้กลับบ้านดึกค่ะ กินข้าวล้างจานเสร็จก็ได้เวลาอาบน้ำนอนแล้ว ดีใจ ว่าจะเปิดเมะเรื่องใหม่ดู ก็กลัวติด เลยหนีมาเขียนไดดีกว่า เพลงก่อนแล้วกัน พอดีช่วงนี้เราติดเพลงค่ายนี้อยู่ เค้าทำเพลงคอเวอร์ค่ะ เพราะหลายอัลบัมเลย เลือกยากมาก ทีแรกชอบสตัก ออน ยู มันดูสืบเนื่องต่อจากเพลงในไดก่อนหน้าดี แต่แบบ วันนี้จะรีวิวนิยายด้วย เลยเอาเพลงที่ฟังแล้วนึกถึงความรักของชาววายมาดีกว่า
“Chasing Car” ของ Snow patrol [Cover by Clare Teal]
We’ll do it all
Everything
On our own
เราจะทำทุกๆ อย่าง ด้วยตัวของเราเอง ทุกอย่างเลย [เป็นการแสดงเจตจำนง เหมือนแบบ อา…เราจะทำให้ได้]
We don’t need
Anything
Or anyone
เราไม่ต้องการอะไร หรือพี่งพาใครทั้งสิ้น
If I lay here
If I just lay here
Would you lie with me and just forget the world?
ถ้าฉันอยู่ตรงนี้ เลือกจะอยู่ที่นี่ เธอจะมาอยู่เคียงข้างกัน และลืมสิ่งต่างๆ ในโลกได้ไหม
I don’t quite know
How to say
How I feel
ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้หรอก ว่ามันพูดยังไง หรือรู้สึกยังไง
Those three words
Are said too much
They’re not enough
คำสามคำนั่น [คำบอกรักอ่ะ] …ที่พูดบ้อยบ่อย แต่เหมือนว่าก็ยังเล่าความในใจได้ไม่หมดสักที
If I lay here
If I just lay here
Would you lie with me and just forget the world?
ถ้าฉันอยู่ตรงนี้ เลือกจะอยู่ที่นี่ เธอจะมาอยู่เคียงข้างกัน และลืมสิ่งต่างๆ ในโลกได้ไหม
Forget what we’re told
Before we get too old
Show me a garden that’s bursting into life
ลืมสิ่งที่พวกเขาพูดถึง ก่อนพวกเราจะแก่เกินกว่านี้ แสดงให้ฉันเห็นถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่เหล่านั้นเถอะ
[ท่อนนี้เราชอบเชียว … เพราะแค่สามประโยค แต่ความหมายลึกมาก เค้าเปรียบเปรยว่าให้แสดงสวน… สวนน่าจะหมายถึงอะไรที่สดใส ชุ่มชื่น ส่วนบัช อินทูไลฟ์ มันทำนองว่า ทะลักทะลายออกมา เป็นชีวิต พอแปลรวมทั้งหมด คนร้องชวนหรือกระตุ้นให้อีกคน แสดงความรู้สึกภายในออกมาสิ ฉายมันออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ก่อนที่เราจะแก่เกินแกง และเลิกฟังที่ใครๆ พูดถึงเราซะให้หมด]
Let’s waste time
Chasing cars
Around our heads
มาร่วมเสียเวลาด้วยการวิ่งตามรถยนต์ภายในหัวเรากันเถอะ …55 พอแปลตรงตัวแล้วน่าเกลียดมาก จากตีมเพลงมันคือการชวนให้มาใช้เวลาด้วยกัน อาจจะหนีไปด้วยกันสักพัก เรื่องจริงนั้นเราทำไม่ได้ไง มันเป็นไปไม่ได้ด้วยเหตุอะไรสักอย่าง ก็เลยอยากหนีความจริงค่ะ ไปในที่ที่มีเราสองคน
I need your grace
To remind me
To find my own
ฉันต้องการความนุ่มนวลอ่อนโยนของเธอ เพื่อจะได้เตือนตัวฉัน ให้ค้นหาความนุ่มนวลอ่อนโยนในตัวของฉันบ้าง
If I lay here
If I just lay here
Would you lie with me and just forget the world?
ถ้าฉันอยู่ตรงนี้ เลือกจะอยู่ที่นี่ เธอจะมาอยู่เคียงข้างกัน และลืมสิ่งต่างๆ ในโลกได้ไหม
Forget what we’re told
Before we get too old
Show me a garden that’s bursting into life
ลืมสิ่งที่พวกเขาพูดถึง ก่อนพวกเราจะแก่เกินกว่านี้ แสดงให้ฉันเห็นถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่เหล่านั้นเถอะ
All that I am
All that I ever was
Is here in your perfect eyes, they’re all I can see
ตัวตนของฉัน ตัวตนที่ฉันเคยเป็น มันฉายอยู่ในดวงตาคู่สวยของเธอแล้ว และนั่นเป็นทั้งหมดที่ฉันมองเห็น
I don’t know where
Confused about how as well
Just know that these things will never change for us at all
ฉันไม่รู้ว่าตรงนี้ที่ไหน และสับสนว่ามาได้อย่างไร รู้เพียงว่าสิ่งเหล่านี้ จะไม่มีวันเปลี่ยนเพื่อเราเสมอ [มันเพ้อๆ นะ เหมือนเป็นความปรารถนามากกว่า ว่าอยากให้ทุกอย่างดีอย่างงี้ ไม่เปลี่ยนอย่างงี้ หรืออีกที ได้รักกันและกันอย่างนี้ตลอดไป]
If I lay here
If I just lay here
Would you lie with me and just forget the world?
…อ้างอิงเนื้อเพลงจาก http://sz4m.com/l75367 (แต่แปลเองนะ)
เพลงนี้ตีความได้หลายอย่าง หลายอารมณ์มาก ฮ่าๆ เราฟังทีแรก เรารู้สึกว่าคนร้องร้องให้คนรักฟัง และกระตุ้นให้อีกฝ่ายบอกรักกันก่อนทุกอย่างจะสายไป… พอนั่งอ่านเนื้อ เอ้อ… มันเหมือนหนีตามกันป่ะนะ พอไปอ่านเว็บซองมีนนิ่ง เอ๊ย มันอารมณ์อกหักเด็ดดอกฟ้าเหรอ อีกคนกลับบอกเพลงนี้โรแมนติกมาก
?? ฮ่าๆ
เอาเป็นว่า ตามแต่อารมณ์คนเสพแล้วกัน นานาจิตตัง ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเสน่ห์ของเพลงนี้ค่ะ และเนื้อร้องมันสั้น แต่กลับความหมายกินลึก เราเลือกมาแปะเลย
เรื่องรีวิวนิยายดีกว่า เราเป็นคนอ่านใจร้ายพอสมควร เพราะก่อนจะมาเขียน ก็อ่านเยอะ มีเรื่องให้เปรียบเทียบหลากหลาย จึงขอวิจารณ์แบบตรงไปตรงมา ถ้าคนเขียนมาเห็นแล้วไม่ถูกใจ เราบอกขอโทษไว้ก่อนเลย ถ้าเราสวมหน้ากากคนอ่านเมื่อไหร่จะเรื่องมากเป็นพิเศษ วิจารณ์อะไรที่ทำร้ายจิตใจก็… อย่าถือสา หรือคนอ่านคนไหนอ่านแล้วไม่เห็นด้วย โวยวายได้ค่ะ
เรื่อง “Unpredictable Affair Sophielia Hope [Tangled]” ของคุณ Flynn ชื่อเรื่องเนี่ย จนบัดนี้เรายังเรียกไม่เคยเต็ม เราเรียกเรื่องอันพรีดิกฯ อะไรสักอย่าง เพราะแบบมันยาวไป และไม่มีคำที่เป็นคีย์เวิร์ดเด่นๆ เราก็เรียกย่อแบบโง่ๆ ไป เท่าที่ทราบคือเธอเป็นนักเขียนที่ไม่ได้เขียนลงเว็บนะ เรื่องนี้เค้าส่งบก.สะพานแล้วก็ตีพิมพ์เลย
เรื่องนี้มีอะไรดี…
ภาษาและสำนวนค่ะ เปิดเรื่องมาเรารู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเขาเขียนได้เหมือนนิยายแปล แต่เขาเป็นคนไทย และนี่เป็นเรื่องออริจินัล ไม่ได้แปลมาจากไหน แถมตัวนางเอกยังเป็นอเมริกันจ๋า ความคิดความอ่าน ฉากเรื่อง สังคม ตีม เป็นสังคมนิวยอร์ก อ่ะโห ต้องใช้พลังจิ้นขนาดไหนเรานึกไม่ออกเลย หรือไม่คงต้องชอบอ่านนิยายแปลมากๆ แน่ๆ ถึงเขียนได้สำนวนแบบนี้ ใครชอบอ่านนิยายแปลละก็ เราว่าเรื่องนี้คุณน่าจะชอบนะ
สอง นางเอกมีบุคลิกที่น่าสนใจค่ะ คนหนึ่งสวยเริ่ดมากเป็นอิตาเลียนแล้วแบบใครๆ ก็อยากได้เธอแต่เธอดูสูงเกินไป อยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูง รวย แนวลึกลับๆ เท่และเก่งค่ะ ประมาณนั้น ส่วนอีกคน นมใหญ่ … 55 ไม่รู้ว่าเรียกข้อดีป่ะ แต่เราชอบจริงเวลาเธอเขียนประชดบอกว่านางเอกนั้นมีดีแค่อารมณ์ขันกับหน้าอกคัพซี ที่จริงนางเอกมีดีหลายอย่างเชียว ดูฉลาดแบบปกติ ความคิดความอ่านเธอดูทั่วไปค่ะ ก็เลยทำให้เราชอบนางเอกคนนี้มากกว่าคนแรก
เนื้อเรื่องและการเล่า
เนื้อเรื่องพูดถึงโซฟีเลีย โฮป นางเอกคัพซีคนนี้แหละ เป็นคนเล่าเรื่องโดยใช้สรรพนาม ฉัน ข้อดีของการใช้สรรพนามฉันก็คือคนอ่านจะเข้าถึงนิสัยความคิดของคนเล่าได้ง่าย และไม่สับสนว่าใครกำลังพูดใครกำลังคิด เพราะนางคิดอยู่คนเดียวไม่มีทางแหยมไปบรรยายความคิดคนอื่นได้ แต่ข้อเสียที่เราเคยค้นพบก็คือมันจะทำให้เล่าเรื่องผ่านมุมคนคนเดียวเท่านั้น และทำให้เรื่องดำเนินช้าค่ะ หรือเรียกง่ายๆ ว่าไม่รอบด้าน เราจะไม่รู้ความรู้สึกคนอื่นในเรื่องเลย ถ้านางเอกเราไม่บรรยายให้ฟัง และอีกอย่างความคิดคนเรานั้นซ้ำๆ ซากๆ พอควร ดังนั้นคนอ่านบางทีเบื่อได้เวลาอ่านไปสักสองร้อยหน้าเป็นต้นไป (มีช่วงหลังๆ เราสังเกตว่าคนเขียนเปลี่ยนพ้อยออฟวิวไปให้คนอื่นบ้าง)
โซฟีพบกับกีอันนา สาวลึกลับที่เป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้น รู้สึกเค้าจะใช้คำว่าผู้อุปถัมภ์ ก็คือคนให้ตังค์นั่นเองของบริษัทที่นางเอกเป็นพนักงานอยู่ โซฟีจะเล่าถึงสังคมของหนุ่มสาวออฟฟิศ การนินทาเจ้านาย การทำงาน การหมกมุ่นเรื่องหาคู่นอน แต่ก็มีเหตุให้เธอต้องพัวพันกับกีอันนาเพราะโซฟีเมาและตื่นมาบนเตียงของกีอันนา และนั่นทำให้คนสองคนเริ่มสนใจกันและกัน เดิมทีโซฟีไม่ได้เกี่ยวกันกับโลกของกีอันนาเลย แต่พอชีปิ๊งกันมันอยู่นอกแผน มันก็เลยส่งผลต่อเรื่องราวต่อๆ ไป… ฉากเลิฟซีนน่ารักดี และไม่ไร้เดียงสาแบบอาคาริๆ ด้วย 55 มันดูเป็นแบบนิยายแปลอ่ะ แต่เราก็ชอบนะ มันดูมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบ หาอ่านฟีลลิ่งนี้ไม่ค่อยได้ ส่วนเรื่องลึกลับของกีอันนาที่โซฟีเข้าไปพัวพันนั้นจะเป็นอย่างไร ไปอ่านเองนะ กลัวหลุดสปอล์ยจริงจุง
..
ต่อจากนี้จะวิจารณ์กึ่งสปอล์ยเบาๆ นะ อ่ะ ถ้าเรื่องไหนเรามีข้อดี เราก็มักจะแนบข้อเสีย เพราะคนเขียนให้ความรู้สึกเหมือนคนมีแววมั้ง ถ้าเขียนดีกว่านี้ได้คงจะเยี่ยมมาก ทำนองนั้น เรื่องไหนที่เจอข้อเสียมากเกินเยียวยาสำหรับเรา คงจะอ่านผ่านตา คงไม่มานั่งลิสต์ข้อดีข้อเสียแน่ๆ หรืออีกที อ่านไม่จบไปเลย
คนเขียนใส่รายละเอียดตลอดเวลานะแรกๆ อ่ะ เพราะตอนหลังพอเฉลยเรารู้เลยว่าฉากไหนมีไว้เพื่ออะไร ก็เลยร้องอ้อ แต่บางฉากก็ไม่ได้มีเพื่ออะไร 55 ซึ่งเราว่าปกติ ตามประสาคนเขียนจะอยากฝอย เราเป็นตลอดไงประเด็น หุหุ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เธอขาดในเรื่องนี้คือความน่าติดตามค่ะ จริงอยู่แรกๆ นั้นสำนวนเธอดึงใจอยู่หมัด และสังคมที่แปลกใหม่ไม่เหมือนของไทยทั้งที่คนเขียนเป็นไทยมันก็แปลกไปจากนิยายเลสไทยอีก เธอเรียกคะแนนให้คนเข้ามาตอมหน้าบูธได้สำเร็จค่ะ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นสิ หลังจากหน้าที่สัก… สองร้อยกว่าๆ เป็นต้นไป อื้ม เราเริ่มรู้สึกต้องอดทนอ่านแล้ว และเราจะเกิดคำถามว่า ตกลงปัญหาของเรื่องคืออะไร? เราไม่อยากรู้คำตอบของปัญหาของเรื่องแล้วอะ ถ้าอ่านเรื่อยๆ ไม่คิดอะไรมากมันคงไม่น่าอึดอัดนะ เพียงแต่เราคาดหวังว่ามันควรเริ่มสนุกตื่นเต้นขึ้นตามจำนวนหน้า มากกว่าจะดิ่งลง
ฉากคลายเรื่องของกีอันนา ความลับที่ปิดไว้ทั้งหลายกำลังเผย เราแค่ร้องอ๋อค่ะ อ๋อ มันเป็นอย่างงี้นี่เอง แต่มันไม่ใช่อารมณ์ เอ๊านั่นไงล่ะ เราเดาไว้แล้วเชียว หรือเอ๊า ทำไมเป็นอย่างงี้ไปได้ล่า อารมณ์ต่างกันมากนะ อาจจะเพราะจังหวะ หรือวิธีการเล่าตอนไคลแมกซ์มันยังไม่เร้าใจพอก็ไม่ทราบ แล้วหลังไคลแมกซ์มันยังมีประเด็นรองอีกอันต่อไปอีกเป็นร้อยหน้า ซึ่งแบบ อื้ม มันไม่น่าสนใจแล้วล่ะ เพราะปัญหาใหญ่มันหมดไป มันหมดลุ้นแล้ว ตรงส่วนนี้สามารถตัดเป็นตอนพิเศษสั้นๆ ได้เลย
วิจารณ์แหลกไปป่ะ 55 ไม่ได้ไล่แขกนะ เพราะถ้าไม่ชอบเราคงไม่เอามารีวิว ความต่างทำให้นิยายเธอโดดเด่นอ่ะ แต่พื้นฐานของการเล่าเรื่องเราว่ามันเหมือนกัน… ไม่ว่าสไตล์เป็นอย่างไร เขียนให้คนอ่านอินและลุ้นกับตัวเอกหรือเนื้อเรื่องได้เมื่อไหร่ มันคือที่สุดแล้ว ทีแรกคิดว่าจะส่งเมลไปบอกคนเขียนดีไหมนะ ว่าเราอ่านแล้วรู้สึกงี้ๆ แต่เราเคยอ่านเรื่องแล้วสอใส่สระเอือกส่งไปครั้งหนึ่งค่ะ รู้สึกว่านักเขียนนั้นมีภูมิต้านทานต่างกัน คงไม่มีใครชอบให้ใครมาวิจารณ์ด้านลบอย่างเราเป็นพวกซาดิสม์ การที่เราจะเปลืองตัวเมลไปวิจารณ์เค้ามันคงเหมือนไปยืนด่าฉอดๆ ใส่เค้าป่ะ เค้าด่ากลับมาซวยอีก ดังนั้นช่างเหอะ วิจารณ์ในบ้านตัวเองปลอดภัยสุด
ปล.
โฆษณาเรื่องให้เพื่อนนักเขียนหน่อยแล้วกัน ชีอีโรติกหกที่เราได้ลงเรื่องสั้นนั้น เราเขียนเรื่อง “แฟนเก่า” แล้วมันดันให้อ่านฟรีในเมพ ตะนี้ตอนเขียนก่อนจะส่งคุณบก. เพื่อนนักเขียนหลังไมค์บอก เอ๊ยน่าสน อยากแต่งต่อ เธอเลยแต่ง “แฟนใหม่” ขึ้นมา ใช้ตัวละครชื่ออริสา หรือน้อง เป็นนางเอกคนเดียวกันค่ะ แล้วบก.อาจจะทำการตลาดหรือยังไงไม่ทราบ ตัดอ่านฟรีตรงจบเรื่องเราพอดี แฟนใหม่อยู่ในส่วนที่ต้องจ่ายกะตังอ่าน 555 อ่ะ เลยมีข้ออ้างให้ขายหนังสือได้แล้วไง ขายๆๆๆ ค่ะ จงเข้ามาซื้อเร็วพลัน เล่มละเท่าไหร่นะ… สามร้อยกว่าป่ะ จำไม่ได้ รู้แต่ว่าเล่มนี้จะมีนักเขียนเยอะเป็นพิเศษ เลยทำให้มันอ้วนกว่าชีอีโรเล่มอื่นๆ นะ