สวัสดีค่ะ
หลายวันก่อนคุ้ยไฟล์บางอย่างส่งให้บางคน
ก็เลยบังเอิญไปเปิดไฟล์หนึ่งเข้า แทบลืมไปแล้วว่าเคยเขียนฉากนี้ทิ้งไว้ด้วย ก็เลยเก็บมันมารวมในไฟล์ซีนดีลีทซะให้เป็นเรื่องเป็นราว
พอเปิดไฟล์ดีลีทดูก็ตกใจนิดหน่อย เออ เรานี่ก็ใช้พลังสิ้นเปลือง เขียนแล้วลบเขียนแล้วลบ ทบไปทบมาหลายสิบหน้าแล้วค่ะ ก็น่าเสียดายที่จะต้องทิ้งมันไป ไหนๆ ก็ไหนๆ มีไดไว้ทำไมล่า
การเขียนนิยายยากที่สุดตอนไหน?
สำหรับเราแล้วมันยากตอนเกิดไอเดียซ้อนไอเดีย
เช่นว่าไอเดียแรกเรากำหนดว่านายเอไปทางขวา แล้วเดี๋ยวจะให้เลี้ยวซ้ายในลำดับต่อไป
เราเขียนตามคำสั่งตัวเอง โอเคให้นายเอไปขวาแล้ว แต่พอเขียนจบดันรู้สึกว่า เอ๊ยนายเอเดินตรงไปลื่นกว่า จิ้นว่านายเอเดินตรงไปดีกว่า พอเดินๆ นายเอก็จะงง เจอทางตัน
จริงอยู่ที่ว่าเราสามารถคิดให้นายเอเดินต่อไปได้ แต่ว่าไอเดียแรกนั้นมันคิดต่อเนื่องไปฉากต่อๆ ไปไว้แล้ว ถ้าเราให้นายเอเดินทางใหม่ตามอารมณ์เราไปเรื่อยๆ เราก็ต้องคิดเส้นทางใหม่ให้นายเออีก
ผลก็คือเราต้องมานั่งชั่งใจตัวเอง ว่าเอาทางไหนดีนะถึงจะเหมาะสม แล้วทางไหนที่เราไม่เลือก ก็กลายเป็นซีนดีลีทในที่สุด
อันนี้เป็นความสับสนวนเวียนส่วนตัวของนักเขียนคนหนึ่งนะคะ ฮ่าๆ
ฟังแล้วอาจจะว่าเฮ๊ย ทำไมจึงคิดซับซ้อน
เราก็จะตอบว่าเพราะเราติสฮะ ความติสมันไม่เข้าใครออกใคร เวลาเราเดินชมนกชมไม้ เรายังอยากออกนอกเส้นทางเลย ไฉนเลยการเขียนนิยายจะแตกต่าง เจออะไรสวยงามน่าไปเข้าหน่อย เราก็อดใจก้าวไปหาไม่ได้
ก็เลยเป็นสาเหตุให้เราแต่งช้าเป็นเต่า ถ้านับวันเปิดกล้องให้เรื่องพรายในสายลม คงร่วมปีครึ่งแล้วค่ะ รู้สึกว่าตั้งแต่แต่งมา จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แฮะ
อย่างเช่นตอนแต่งดีพี เราใช้เวลาสี่หรือห้าเดือนเนี่ยแหละ ก็จบละ สี่สิบตอน จำนวนสามร้อยกว่าหน้า
แล้วพอเรื่องสอง แต่งเพียงใจฯ ใช้เวลาสิบเดือนพอดี ซึ่งมองย้อนกลับไปเราว่ามันนานมาก ที่เรางมกับเรื่องเรื่องหนึ่งตั้งสิบเดือน โห ก็บ้าพลังเนอะ
พอมาเรื่องนี้… ดูท่าว่าจะชนะเลิศ หนึ่งปีครึ่งนี่ยังได้แค่ครึ่งทาง เราว่าถ้าจบเรื่องนี้แล้วมีเรื่องที่สี่ คงใช้เวลาห้าปีแต่งให้จบแล้วล่ะค่ะ ฮ่าๆ
เอาล่ะมัวแต่ฝอย เข้าเรื่องที่คุณอยากอ่านดีกว่านะ เราขอแบ่งลงสองตอนแล้วกัน เพราะมันก็ยาวประมาณหนึ่ง เป็นเหตุการณ์ก่อนหน้ากานต์จะกลายเป็นผี เพราะทีแรกเรายังไม่มีไอเดียสำหรับนางเอกของพายชัดเจนนัก
เรื่องของพายนั้นชัดเจนหลายเรื่อง เพราะปูมาจากเรื่องคิมปรินอยู่แล้ว แต่ว่านางเอกของพายเป็นของใหม่ที่เราต้องวางพื้นให้หล่อนใหม่ ใครกันควรเป็นผู้ถูกเลือก ผู้หญิงคนไหนดีเหรอ นักเขียนก็ไม่ต่างจากนักอ่านตรงที่อยากเห็นของสวยๆ งามๆค่ะ ก็เลยจิ้นคนสวยๆงามๆใส่ไป นางคงจะเป็นนางแบบดีไหมนะ นางควรได้ถ่ายแบบกับพายในเวอร์ชันพริ้งแพรวพรรณ ว่าแล้วกานต์ชนิตในตัวตนนั้นก็เกิดขึ้นค่ะ
แม้ว่าสุดท้ายแล้วกานต์ชนิตคนนี้จะถูกใจเพียงบางส่วน และถูกเปลี่ยนบุคลิกไปเป็นคนดีแสนดีและไม่สวยก็ตาม แต่ความคิดหลายอย่างยังส่งผลถึงอีกหลายตอนหลังๆ เราอ่านทวนแล้วเรายังรู้สึกว่า เออมันกานต์ชนิตคนเดียวกันนั่นแหละ แค่อวตารผิดที่ผิดทางเท่านั้นเอง 55
………………………………………………………………………..
พรายในสายลม[Deleted Scene] ก่อนจะเป็นตอน You and Me
งานถ่ายแบบแห่งหนึ่ง
กานต์ชนิตหนึ่งในนางแบบนั่งอยู่กับเพื่อนๆ ภายในกระโจมแต่งตัวของนางแบบ งานนี้เป็นของนิตยสารฉบับหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมและเลื่องลือว่าช่างภาพที่นี่ถ่ายภาพสวยและมีคุณภาพ เธอซึ่งเป็นนางแบบได้รับการทาบทามมา คอนเซปงานนี้คือ เซ็กซี่กายแอนด์มายเกิล เป็นการจับนางแบบสาวสวยกานต์ชนิตและพริ้งแพรวพรรณมาประกบคู่กัน พร้อมด้วยนายแบบหนุ่มกีจกร ลูกชายนักธุรกิจและนักการเมืองชื่อดัง
กานต์ชนิตไม่ใช่นางแบบโด่งดังที่มีงานล้นมือ เธอเป็นแค่นางแบบเรื่อยๆ งานนี้จึงถึงเป็นโอกาสทองของเธอ แต่ที่เธอไม่ชอบก็คือคอนเซปของงานนี้นี่แหละ ถ่ายกับกีจกรเธอโอเค แต่กับอีกคนนี่สิ พริ้งแพรวพรรณ ว่ากันว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดายังไงน่ะเหรอ ก็หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงน่ะสิ หล่อนถูกคัดเลือกเข้ามาถ่ายแบบคอนเซปนี้เพราะข่าวลือหนาหูว่าหล่อนควงผู้หญิง และให้สัมภาษณ์ว่าหล่อนนั้นเป็นไบ!
สมัยนี้คงไม่ต้องอธิบายให้มากความล่ะว่าอะไรคือไบ ไตร เตตระ ที่แน่ๆ คือผู้หญิงคนนี้เหมาะสมกับคอนเซปของงานนี้ที่สุด ถ้าหากว่าเธอไม่เห็นแก่ตัวเลขค่าตัวมหาศาล เธอคงปฏิเสธงานนี้ไปแล้ว
กานต์ชนิตกล่าวขอบใจช่างแต่งหน้าพร้อมกับรับชุดกางเกงยีนเอวต่ำกับบิกินี่ท่อนบนเพื่อเข้าห้องเปลี่ยนชุด ช่างภาพต้องการแดดยามสาย นี่ก็ใกล้เวลามากแล้วแต่เธอยังไม่เห็นวี่แววของนางแบบสาวอีกคนหนึ่งเลย อดไม่ได้ทำให้ยิ่งรู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่ยังไม่เคยพบหน้า
“กานต์ แต่งตัวพร้อมหรือยัง พี่ตากล้องจะได้เริ่มคุยงานเลย”
กานต์ชนิตจัดหมวกตาข่ายบนศีรษะเข้ากับผมดัดลอนได้ก็พยักหน้าตอบพี่ทีมงานซึ่งเป็นหนุ่มร่างเล็กแต่กระฉับกระเฉงพร้อมกับเดินตามไปบนหาดทรายอุ่น เบื้องหน้าเป็นทะเลกว้างสีน้ำเงินเขียวสะท้อนแดดสวยจับตา เธอเดินมาหยุดด้านหลังของผู้ชายคนหนึ่งในเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นแค่เข่า บนหัวมีหมวกแก๊ปใส่กลับด้าน สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาเป็นใครก็คือสายกล้องหนาใหญ่เขียนแบรนด์ติดยาวเป็นแถบพาดทับไปกับไหล่
“พี่เจฟ นางแบบมาแล้วนะ จะให้เซ็ตแสงเลยหรือเปล่า”
ตากล้องชื่อเจฟถามกลับทันทีโดยยังไม่เงยหน้าจากกล้องตัวโปรด “นางแบบ? พริ้งน่ะเหรอ มาแล้วเหรอ เรียกมาเลยจะได้เริ่มถ่ายกัน”
“ไม่ใช่พี่ นี่กานต์ นางแบบอีกคน”
“อ้าว”
แล้วเขาก็หันหน้าประหลาดใจมองเจ้าหนุ่มร่างเล็ก และมองเลยมายังเธอซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
กานต์ชนิตเพิ่งเคยพบหน้าตากล้อง เธอไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็น “ฝรั่ง”
“อ้อ คุณเองเหรอชื่อกานต์ แล้วพริ้งล่ะพี่แกลบ”
และเป็นฝรั่งที่พูดไทยได้ชัดเปรี๊ยะจนไม่น่าเชื่ออีกด้วย
พี่แกลบทำหน้าเลี่ยน “ยังไม่มา”
“อ้าว นี่ก็จะได้เวลาอยู่แล้ว โทรตามหรือยัง”
จากนั้นก็เป็นเวลาถกเถียงกันระหว่างตากล้องและพี่แกลบทีมงาน ดูเหมือนเธอจะถูกเรียกมายืนฟังเก้อ ไร้ความสนใจไปจนหมดสิ้น ทีมงานเมื่อได้ยินเสียงโวยวายของตากล้องก็ต่างรีบโทรหานางแบบสาวพริ้งแพรวพรรณกันใหญ่โต และเธอก็ถูกทิ้งให้ยืนตากแดดลำพัง คิ้วเรียวยาวเริ่มขมวดติดกัน ความหมั่นไส้นางแบบคนนั้นทวีคูณจากเมื่อครู่ เธอเดินไปหยุดด้านหลังตากล้องหนุ่ม และเอ่ย
“ตกลงคุณจะคุยรายละเอียดกับฉันไหมคะ”
ใบหน้ามุ่ยหันมาหาเธอ ก็ทำท่าเหมือนนึกได้จึงได้ยิ้มออกมา “เอ้อ คุยสิครับ”
ชายหนุ่มล้วงสมุดส่วนตัวจากในกระเป๋ากล้อง และเริ่มบรรยายให้ฟังว่าเธอควรไปยืนตรงจุดไหน และทำท่าอะไรบ้าง กานต์ชนิตพยักหน้าตามอย่างคนเข้าใจง่าย ถึงเธอไม่ใช่นางแบบคิวยาวค่าตัวสูงอย่างคนอื่น แต่เธอก็มืออาชีพพอ หลังจากเขาอธิบายเสร็จไม่นาน เสียงบรืนของรถคันหนึ่งก็ดังเรียกความสนใจของทีมงานทั้งหมดให้มอง รถเก๋งสีขาวเงาวับเบรกเอียดตรงลานจอด พร้อมกับร่างเพรียวสะโอดสะองก้าวออกจากรถด้วยความเร่งรีบ มองหุ่นแต่ไกลก็รู้ว่าหล่อนเป็นใคร กานต์ชนิตแม้จะหมั่นไส้หล่อนอยู่หลายเรื่อง แต่เมื่อมาเห็นกับตาก็อดชมหุ่นของอีกฝ่ายไม่ได้ หล่อนดูดีในเสื้อเชิ้ตสีขาวบางเบาชายข้างหนึ่งปลิวไปกับลมทะเล ชายอีกข้างถูกเหน็บไว้กับเอวกางเกงยีนขาสั้นอวดขาเรียวยาวของเจ้าตัว และรองเท้าส้นเตี้ยที่ดูจะไม่ได้ดั่งใจ จึงได้ถอดออกและเดินเท้าเปล่ามาทางตากล้อง
“ฉันมาแล้วๆ”
“เกือบสายแล้ว”
คนมาใหม่ส่งยิ้มอวดฟันขาวเรียบมีเขี้ยวเล็กแหลมแซมจนดูน่ามองรับกับใบหน้าเรียวและดวงตาสีน้ำตาลส่องประกายระยิบระยับ เข้ากับทรงผมดัดลอนตามสมัยนิยม ทุกอย่างดูลงตัวจนเธออดไม่ได้อีกนั่นแหละ นึกชมในใจ สักพักอคติเจ้าเดิมที่มีกำลังมากกว่าก็เข้ามาแทนที่ดังเดิม
“ฉันก็เลยแต่งตัวในรถมาไงล่ะ นี่ชุดนี้เป็นชุดแรกใช่หรือเปล่า”
ดูเหมือนหล่อนจะคุยงานกับตากล้องมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเขามองขึ้นลงและพยักหน้า
“งั้นก็ดี มาเริ่มกันเลยดีกว่า เอ้อ ลืมแนะนำไปถ้าเธอยังไม่รู้จัก คนนี้คุณกานต์ นางแบบที่จะมาถ่ายคู่กับเธอ”
พริ้งแพรวพรรณหันมองเธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลคู่เดิม แต่เธอกลับเห็นประกายอำพันแทรกเป็นริ้วจนทำให้รู้สึกว่าเธอกำลังถูกสำรวจลึกลงไปกว่าที่มองกันอยู่ เธอจึงสบตาคู่นั้นของอีกฝ่ายได้ไม่นานนักด้วยความทำอะไรไม่ถูก และก็กลายเป็นอาการไม่พอใจเล็กๆ ตามประสาคนหวาดระแวงและหมายหัวอีกคนไว้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงปกติ!
“สวัสดีค่ะ คุณกานต์”
เมื่อพริ้งแพรวพรรณเป็นฝ่ายเริ่มทักก่อนพร้อมยกมือไหว้ เธอจึงจำเป็นต้องรับไหว้อย่างไม่ชิน แหม ก็เธอไม่คิดว่าวงการนางแบบจะมีคนมือไม้อ่อนนี่ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าอายุใครอ่อนหรือแก่กว่ากัน คนเราพออายุเกินยี่สิบถึงสามสิบห้า ก็เห็นหน้าตาเท่ากันหมด
“ไม่ต้องสงสัยหรอกค่ะ ตามประวัติแล้วฉันอ่อนกว่าคุณสองปี”
กานต์ชนิตหันมองทันใด นี่ตามสืบประวัติกันเลยเชียวเหรอ อีกฝ่ายจึงหัวเราะราวกับรู้ทันความคิด “เอาเป็นว่าเรามาเริ่มทำงานกันดีกว่า เดี๋ยวจะเสียเวลา นะคะ”
ตากล้องอมยิ้มน้อยๆ ขณะมองปฏิกิริยาของนางแบบของเขา “อ่ะได้ เริ่มๆ ครึ่งเช้านี้จะเริ่มถ่ายจาก มายเกิลก่อน คุณกานต์ พริ้ง เชิญด้านหน้าได้เลยครับ”
กานต์ชนิตท่องไว้ในใจตั้งแต่เริ่มถ่ายว่า นี่เป็นงาน นี่เป็นงาน และเธอจะต้องอดทนไม่คิดอะไร แต่แหม ยิ่งถ่ายตากล้องก็ยิ่งสนุก จากโพสท่าธรรมดากลายเป็นจับมือถือแขน แตะเอว แตะไหล่ ชักลามเป็นโอบ จากโอบเป็นกอด เธอคิดไม่ออกว่าจะปั้นหน้ายิ้มได้ยังไง ดังนั้นบทสรุปจึงเป็นว่า
“หยุด หยุดก่อน” ตากล้องทิ้งกล้องลงอย่างแรงจนสายกล้องตึง เขาเดินมาใกล้พร้อมกับขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลมีความยุ่งยากใจ อาการแบบนี้ของตากล้องทำให้ทีมงานทั้งกองเงียบกริบ กานต์ชนิตรู้ทันทีว่างานนี้จะดีจะร้ายขึ้นอยู่กับตากล้องคนนี้ทั้งหมด
“คุณกานต์ครับ ไหวไหม ถ้าไม่สบายก็บอกนะฮะ จะได้พักก่อน”
“เอ้อ กานต์ไม่เป็นอะไรค่ะ ถ่ายต่อได้”
“แต่หน้าคุณกานต์บูดบึ้งตลอดเวลาเลยนะครับ ดูสิ” ไม่พูดเฉย เขายื่นกล้องเลื่อนภาพให้ดูอีกด้วย ปากก็พูดต่อ “ที่ผมบอกเมื่อครู่ไงครับว่าผมขอร่าเริงรับกับแดด แบบมาเที่ยวทะเลกับคนรักอย่างมีความสุข ทำได้ไหมครับ”
กานต์ชนิตอดเหลือบมองคนข้างกายไม่ได้ หล่อนก็ยืนมองด้วยสีหน้าปกติ
“เอ่อ ทำได้ค่ะ” เธอจำเป็นต้องรับคำหนักแน่นไว้ก่อน แม้จะปกปิดสีหน้าลำบากใจไม่ได้ สายตาเฉียบคมของตากล้องจึงตวัดมองอีกครั้ง
“หรือว่าไม่ชอบใจเจ้าพริ้งมัน”
เท่านั้น เจ้าพริ้งมัน ก็ร้อง “เอ๊ย ฉันเกี่ยวไรล่ะนายเจฟ”
ตากล้องไม่สนใจคำท้วง เอ่ยกับเธอต่อ “ว่ากันตามตรงนะครับ ถ้าคุณกานต์ไม่พอใจอะไรพริ้งจะได้เคลียร์กันตรงนี้เลย เพราะเรายังมีอีกหลายฉากที่ต้องถ่าย ซึ่งต้องแตะต้องตัวกันมากกว่านี้อีกมาก”
กานต์ชนิตถอนหายใจ ความเป็นมืออาชีพทำให้เธอใจเย็นลง และตัดอารมณ์ส่วนตัวทิ้งทะเลไปก่อนชั่วคราว
“ฉันไม่มีอะไรไม่พอใจค่ะ แค่คงยังไม่ชินกับอากาศร้อนๆ มากกว่า”
“ค่อยยังชั่วหน่อย ได้ยินเจฟพูดแล้วฉันก็นึกกลัวว่าคุณจะเกลียดขี้หน้าฉันเลย”
ท่าเอามือทาบอกพร้อมกับหน้าตาน่าเห็นใจทำให้กานต์ชนิตนึกด่าตัวเอง เธอไม่น่าเอาความอคติของเธอนำเลย
“ฉันเปล่า”
ตากล้องจึงหัวเราะได้ เอ่ยทิ้งท้าย “งั้นก็ดีแล้วครับ ค่อยโล่งใจหน่อย นึกว่าคุณกานต์จะไม่ชอบที่เจ้าพริ้งมันชอบผู้หญิงด้วยกันซะอีก ฮ่าๆ โอเคทุกคน เลิกพักได้แล้ว มาถ่ายกันต่อ เอ้ยพีทเติมหน้านางแบบหน่อยเร็ว”
กานต์ชนิตเกือบจะกลืนความรู้สึกเหล่านั้นได้แล้วเชียว เธอหันหน้ากลับไป ทันเห็นแววตาวาวๆ ของคนข้างกันก็ชะงัก มองอีกทีสีหน้าหล่อนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสปกติไม่มีอะไรในกอไผ่ จนฝืนยิ้มตอบ
“ขอโทษนะคุณพริ้ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ คุณกานต์ไม่ต้องคิดอะไร คิดแค่ว่ามาเที่ยวกับน้องสาวก็ได้ค่ะ จะได้สบายๆ นะ”
เจ้าตัวให้กำลังใจแล้วยื่นมือให้จับ ซึ่งก็ได้ยินเสียงแชะในทันที รู้ว่าเริ่มต้นการถ่ายอีกครั้ง
พริ้งแพรวพรรณยิ้มมองพื้นซ่อนรอยหัวเราะให้พ้นจากสายตาอีกฝ่าย การได้แกล้งถือเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง ยิ่งเห็นแววตากระอักกระอวนของผู้หญิงคนนี้แล้ว เธอยิ่งยิ้มกว้าง และทำให้เจฟเพื่อนของเธอชอบใจใหญ่ กดแชะๆ ไม่ขาดมือ อย่าให้ได้สบตากันนะตาเจฟ เธอรู้ว่าเขาคิดอะไร แววตานั้นมันปิดอาการขำขันไม่มิด
พริ้งแพรวพรรณเงยหน้ามองคนโอบบ่าเธอจากด้านหลัง พลางเอนตัวแนบใบหน้ากับบิกินี่สีสดใส เสียงเชียร์จากตากล้องทำให้เธอดึงเอวอีกฝ่ายแน่นเข้าแก้มชนกับความนุ่มหยุ่นจนรับรู้อาการสะดุ้งของอีกฝ่าย จึงได้เงยหน้ามองสีหน้ายิ้มไม่สุดของคนข้างหลัง และส่งเสียงเรียกเบาๆ
“คุณกานต์ๆ”
กานต์ชนิตก้มลงมอง “รีแลกซ์สิ คุณต้องยิ้ม ไม่ใช่แยกเขี้ยวนะ”
แทนที่จะได้รอยยิ้ม เธอกลับได้ตาเขียวๆ ซะนี่ พริ้งแพรวพรรณหัวเราะมือข้างที่ว่างเหนี่ยวคออีกฝ่ายโน้มลง พร้อมกันนั้นก็กดริมฝีปากกดลงตรงแก้มนุ่ม เรียกสีหน้าตกอกตกใจแทบจะทันที เสียงแชะและเสียงหัวเราะของตากล้องช่วยชีวิตให้เธอทำอะไรก็ได้โดยไม่ตาย ดังนั้นหลังจบฉากตรงนี้ เธอจึงรีบใช้ประโยชน์จากขายาวก้าวพรวดๆ ไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อทันที
กานต์ชนิตได้แต่ยืนชักสีหน้าอยู่เพียงคนเดียว จนกระทั่งตากล้องและทีมงานส่งเสียงชื่นชมเธอจึงสงบอารมณ์ได้
“สวยมากคุณกานต์ พอยิ้มแล้วภาพสวย ดีที่พริ้งส่งอารมณ์เก่ง… เฮ้ย อาร์ทเก็บไฟได้แล้ว เตรียมไปเซ็ตต่อในห้อง” กานต์ชนิตยิ้มรับไม่ทันสุด ตากล้องก็หันไปสั่งการทีมงานเสียแล้ว แต่อาร์ทคนจัดแสงไม่รับคำสั่ง กลับวิ่งหน้าตั้งมาหาเขา
………………………
ติดตามต่อวันพรุ่งนี้