Broken

 

 

สวัสดีค่ะ

 

 

สบายดีกันรึเปล่า

ช่วงนี้อากาศที่ฮวงดีแสนดี แต่ผลแลปเละเทะไม่เป็นท่า ฮ่าๆ

 

 

คืออาจจะเป็นช่วงเฮงหรือยังไงไม่ทราบ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไร แม่_พังหมดทุกอย่างเลย เริ่มตั้งแต่อุปกรณ์แลปจับอะไรก็หัก แง่ม ยังจะชักโครกในห้องน้ำพังอีก ชักโครกก็เหมือนไทยนั่นแหละ พอกดจื้ด น้ำก็จะไหลเอาสรรพสิ่งในคอห่านลงท่อไปใช่ป่ะ ทีนี้น้ำก็จะไหลเข้าอัตโนมัติ จนกว่าระบบลูกลอยจะลอยสูง ก๊อกก็จะปิด แต่ว่ามันคงมีการโก่งหรืออะไรสักอย่างของคันลูกลอย ก็เลยปิดน้ำไม่ได้สนิท มันซึมออกมาตลอด เราก็จัดการง๊อกๆแง๊กๆมันฮะ ด้วยความมั่นใจว่า เอ๊ย พวกเทคนิกคอลพวกนี้ทำได้ ตอนทำแลปปอโทเคยทำมาเยอะกว่านี้อีก แค่นี้ทำไมจะไม่ได้

 

 

แน่ะ พอตัวอีโก้ออกมาโชว์พาว เราก็จัดการเลย ง๊อกแง๊กๆ สักพัก ไอ้สิ่งที่ง่อนแง่นๆ มันก็หักคามือค่ะ ลูกลอยเลยหลุดตามออกมาทั้งคัน สะใจจริงๆ ก็เป็นเวรกรรมให้ไปหาซื้ออะไหล่มาเปลี่ยน คืออยู่ไทยสบายแสนสบาย อะไรเสียก็เรียกช่าง แต่ที่นี่อะไรเสียต้องทำเองหมด เดี๋ยวเรากับเมทต้องเปลี่ยนมันเองล่ะ เมื่อวานทำยังไม่สำเร็จ วันนี้เดี๋ยวลองใหม่

 

 

วันนี้แฮนดี้ไดรว์พังอีกค่ะ เพลียจริงๆ โชคยังดีที่เราไม่ได้เก็บงานสำคัญไว้ในนั้น

อ่ะบ่นพอประมาณ เดี๋ยวจะหาว่าเราเป็นตัวซวย

 

 

นิยายช่วงนี้อัพบ่อยหน่อย เพราะตอนกลับมาฝรั่งใหม่ๆ เราไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยแต่งได้เยอะค่ะ

เดือนตุลาอาจจะไม่มากเท่า งานสุมแล้ว คงกลับไปสโลวโมชันเหมือนเดิม

ที่จริงเรามีแผนการอัพไว้ด้วยล่ะ เดี๋ยวโชว์ให้ดู เราเป็นคนทำอะไรวางแผนนะเออ ไม่ใช่ติสไปวันๆ

 

IMGP4559

 

บางแผนอาจจะเคลื่อนวันไปบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราแต่งต่อได้หรือเปล่า อย่างที่บอกว่าวางไว้สี่สิบห้าตอน และคงยาวกว่าเพียงใจฯ ไปนิดนึง เพราะประเด็นมีเยอะแยะไปหมด มีแนวโน้มจะปิดประเด็นไม่ครบด้วย อย่างตอนล่าสุดเรากำลังเขียนอยู่นี่ค้างเติ่งมาหลายวัน (เพราะวอลเล่ย์บอลด้วยส่วนหนึ่ง ไม่รู้ทำไมเราชอบรูปร่างนักวอลเลย์สาวไทยกับสาวญี่ปุ่นจริง ส่วนชาติอื่นแท้ไม่ชอบ ดูอย่างกับรถถังยังไงไม่รู้) กับเพราะมีหลายประเด็นแย่งกันเด่น กำลังแยกร่างตัวเองเป็นพายครึ่งนึง กานต์ครึ่งนึง แล้วเถียงกันว่าใครคิดอะไรอยู่ หรืออะไรควรพีคที่สุดในจังหวะของเรื่องตอนนี้

 

 

ฝอยไป คนอ่านคงไม่ค่อยเข้าใจ มัวแต่อ่านรายการอาหารอยู่ล่ะสิท่า

 

 

 

แอบเห็นคุณมน.บอกว่านิยายจองกันไปน้อย อาคาช่วยโฆษณาแล้วนะ ฮิฮิ คงโฆให้ได้เท่านี้แหละ ถ้าใครมีกะตังก็อุดหนุนหน่อยนะคะ เพื่อความเจริญยั่งยืนของสำนักพิมพ์นิยายวายค่ะ

 

เดือนหน้าคงจะได้เห็นรูปสวยๆ ของต้นไม้เปลี่ยนสีค่ะ อาทิตย์นี้มันเริ่มเปลี่ยนแล้ว คาดว่าเดือนหน้าคงได้โชว์รูปจากกล้องใหม่ให้ได้ชมกัน

 

รอยยิ้มชิมรัก

สวัสดีค่ะ

 

ขอยกพื้นที่วันนี้เป็นของโอบาม่ามาขายของสักหน่อยนะคะ

 

คือว่าหนังสือเรื่อง “รอยยิ้ม ชิมรัก” ของโอบาม่าใกล้เสร็จแล้วค่ะ และประกาศให้จองได้แล้วด้วย

 

เป็นการรวมเล่มกับแมงมุม แมงมุมนั้นก็มีเรื่องสั้นสามหมื่นแปดพันเรื่องค่ะ เธอเลือกเรื่อง “ฉันเห็นชีอีสเวรี่บิวตี้ฟูลที่…” มาตีพิมพ์ร่วมกับเรา ส่วนของโอบาม่านั้นไม่ต้องเลือก เพราะเขียนอยู่เรื่องเดียว คิคิ

 

และโอบาม่าไม่ได้เพิ่มตอนพิเศษนะ เพราะนึกไม่ออกจริงๆ แต่บก.สะพานก็ยังใจดีพิมพ์ให้ค่ะ ^_^

 

ราคาหนังสืออยู่ที่ 210 บาท ความหนา 230 หน้า ก็ตกเกือบจะหน้าละบาท เอ๊ะ คำนวณทำไม

 

ใครชอบสองเรื่องนี้ อยากได้ครอบครองเป็นเล่มล่ะก็ อย่ารอช้าคลิกไปหา https://www.les-books.com

 

หรือถ้าทางเฟสบุ๊ก สามารถเข้าไปสอบถามอะไรต่อมิอะไรที่สงกะสัยจากบก.ได้ที่เพจของสะพาน เหมือนจะต้องกดไล้ก่อนมั้ง https://www.facebook.com/sapaanpub

 

 

เป็นหนังสือที่มีแต่หน้าปก ไม่มีหลังปกนะเออ

 

แบบว่าปกนึงก็ของเรื่องนึงล่ะ พลิกกลับหัวกลับหาง กลับหน้ากลับหลังก็จะชะแว้บ เปลี่ยนหน้าปกอย่างน่าอัศจรรย์ O_o

 

อันที่จริงเราก็ยังไม่เห็นเล่มของจริงอ่ะนะ โม้ไปก่อน 55

 

 

อ่ะถ้าใครมีกะตังอย่างลืมไปอุดหนุนหน่อย คิดว่าน่าจะทันงานหนังสือเดือนตุลาปีนี้ค่ะ ลองถามคุณบก.ดูว่าในงานหนังสือจะมีขายไหมและปีนี้จะเป็นบูธไหน ที่แน่ๆ สั่งจากทางเว็บไซต์ส่งถึงบ้านได้แน่นอน ส่วนช่องทางอีบุ๊ก ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มีวางขายหรือยังนะคะ แต่เรื่องของอาคาริสองเรื่องแรกมีขายทางอีบุ๊กแล้วค่ะ mebmarket รวมทั้งหลายๆ เรื่องของสำนักพิมพ์สะพาน สามารถเข้าไปเลือกสรรหากันได้ตามใจ ไม่ต้องกลัวใครจะแอบหยิบไปอ่านเหมือนหนังสือด้วย(ถ้าตั้งรหัสผ่านให้คอมหรือแทบเล็ตหรือสมาร์ทโฟนของท่านไว้กันคนอื่นเข้าอ่ะนะ)

 

 

 092

ภาพจาก https://www.les-books.com

พรายในสายลม ตอนตัดออกต่อจากเมื่อวาน

ต่อๆ

 

“สวยมากคุณกานต์ พอยิ้มแล้วภาพสวย ดีที่พริ้งส่งอารมณ์เก่ง… เฮ้ย อาร์ทเก็บไฟได้แล้ว เตรียมไปเซ็ตต่อในห้อง” กานต์ชนิตยิ้มรับไม่ทันสุด ตากล้องก็หันไปสั่งการทีมงานเสียแล้ว แต่อาร์ทคนจัดแสงไม่รับคำสั่ง กลับวิ่งหน้าตั้งมาหาเขา

 

“พี่เจฟครับ คุณกีจกรมาถึงแล้วนะครับจะให้ถ่ายต่อเลยไหม”

 

“เอ้าเฮ้ย นี่ก็มาถึงก่อนเวลาอีก” เจฟและทีมงานรู้ดีว่านี่เป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ ไม่ว่าเขามาช้าหรือมาไวก็ไม่ควรตำหนิเด็ดขาด แม้เขากับทีมงานมีสีหน้ายุ่งยากใจเพียงไร แต่เมื่อชายหนุ่มในเสื้อโปโลกับกางเกงขาสั้นในแว่นตาสีดำเดินลงมาจากรถ เขาก็ปั้นหน้ายิ้มแย้มร่าเริงได้ทันที จนเธอทึ่ง ถ้าหากว่ากองถ่ายขาดคน เธอว่าคุณเจฟนี่ล่ะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด

 

“คุณกานต์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้ครับ โอ้ยงานเข้าแล้ว แล้วช่วยไปบอกพริ้งแทนผมทีว่าคุณกีมา สงสัยต้องถ่ายคิวของคุณกีก่อนแล้วล่ะครับ ขอโทษด้วยจริงๆ”

 

กานต์ชนิตรับฟังประโยคยาวๆ แต่เร็วปร๋อก็ยิ้มขำ พยักหน้ารับและบอกว่าไม่เป็นไร เพราะยังไงเธอก็มีคิวถ่ายในช่วงเย็นจนต้องพักที่นี่หนึ่งคืนกับทีมงานอยู่แล้ว จะเลื่อนคิวจัดคิวยังไงก็ได้แค่ขอให้พรุ่งนี้เสร็จทันกลับก็พอ

 

ห้องอาบน้ำของรีสอร์ทอยู่ติดกับหาดทราย กานต์ชนิตเดินเข้าไปก็พบกับร่างเพรียวสมส่วนของพริ้งแพรวพรรณในกางเกงยีนตัวใหม่และบิกินี่ตัวใหม่สีขาวค่อนข้างบาง แทบจะปิดซ้อนเร้นบางสิ่งบริเวณปลายยอดอยู่รำไรไม่มิด กานต์ชนิตจึงหลบตามองทางอื่นเสีย เธอรู้ว่านี่เป็นเครื่องแต่งกายที่ใช้ถ่ายกับเธอในฉากต่อไป จึงรีบบอก

 

“คุณเจฟบอกว่าคุณกีจกรมาแล้ว และคงต้องถ่ายคิวของคุณกีก่อน”

 

เสียงร้อง “อ้าว” ดังลั่นห้องน้ำ เธอเห็นเจ้าตัวทำหน้าเสียดายก็รู้สึกว่าความโมโหเมื่อครู่เริ่มกลับมา พริ้งแพรวพรรณเห็นหน้าเธอก็ยิ้มหวาน “ฉันคิดว่าจะได้ถ่ายกับคุณเชียวนะ ว้า คุณกีมาก่อนเวลาซะนี่”

 

คนยั่วทิ้งท้ายพร้อมกับหมุนตัวเข้าสู่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้ง เธอจึงนับหนึ่งสองสามในใจ แล้วคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเป็นชุดลำลองโดยไม่สนใจคนห้องข้างกันอีกต่อไป

 

เมื่อออกจากห้องน้ำอีกทีก็พบว่าริมทะเลเริ่มตั้งเครื่องมืออีกครั้ง พร้อมกับตัวนางแบบและนายแบบ ซึ่งอยู่ในชุดบิกินี่ชุดใหม่สีสันเข้ากับกางเกงว่ายน้ำแนบต้นขาของฝ่ายชาย แต่มีเสื้อเชิ้ตเนื้อบางสีขาวสวมอยู่ทั้งคู่ ทั้งที่เก็กท่าถ่ายกับเธออยู่ร่วมสองชั่วโมงก่อนหน้า แต่พริ้งแพรวพรรณก็ยังไม่มีสีหน้าเหนื่อยล้าแต่อย่างใด การถ่ายแบบดำเนินไปด้วยความรื่นรมย์ ใครก็คงดูออกว่ากีจกรนั้นกระตือรือร้นกับการได้อยู่ใกล้ชิดนางแบบสาวมากกว่าจะได้ถ่ายแบบ ตัวนางแบบก็ยิ้มแย้มแจ่มใส สีหน้าไม่ต่างจากถ่ายกับเธอเมื่อครู่นี้เลย จนเธอแอบตำหนิตัวเองอีกครั้ง น่าจะมองพริ้งแพรวพรรณในแง่ดีสักหน่อย ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นมืออาชีพขนาดนี้ ดูสิ ยังเต็มอกเต็มใจแนบชิดอกติดอกซะอย่างหน้าชื่นตาบาน

 

กานต์ชนิตไม่รู้ตัวเลยว่าได้นั่งปักหลักคนคู่นั้นถ่ายแบบจนกระทั่งเสร็จ กีจกรยกน้ำส่งให้ฝ่ายหญิงอย่างเอาอกเอาใจ ในใจเธอก็วกกลับมาเรื่องเดิมอีกตามเคย ตกลงหล่อนชอบได้ทั้งหญิงหรือชายจริงหรือเนี่ย

 

ทีมงานให้เวลาพริ้งแพรวพรรณพักผ่อนอยู่ราวหนึ่งชั่วโมง แม้เธอจะรู้สึกว่าเจ้าตัวไม่ค่อยได้พักสักเท่าไหร่ เพราะมีร่างบึกบึนตามอยู่ไม่ห่างก็ตาม แต่นั่นก็อาจจะเป็นวิธีพักของหล่อนก็ได้ ใครจะรู้ พอบ่ายคล้อยก็เป็นคิวถ่ายของเธอกับพริ้งแพรวพรรณอีกครั้ง รอบนี้ถ่ายในรีสอร์ทห้องพูลวิลล่าที่ปิดมิดชิดเฉพาะทีมงานเท่านั้น เธอเห็นกีจกรขอตัวไปทำธุระ แต่เขาสัญญากับนางแบบคู่ของเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะกลับมาให้ทันงานเลี้ยงตอนค่ำ

 

พริ้งแพรวพรรณกลับมาอยู่ในชุดบิกินี่สีขาวอีกครั้งและนั่งคอยอยู่บริเวณห้องแต่งตัวในห้องน้ำ เมื่อเห็นเธอเปลี่ยนชุดเสร็จก็ส่งยิ้มให้อย่างกระตือรือร้นเช่นเคย คนอะไร พลังงานเยอะจริง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

 

“เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วใช่ไหม” คำถามไม่เหมือนคำถามแต่เหมือนคำทักซะมากกว่า เธอพยักหน้าตอบ หล่อนก็บอกจุดประสงค์ที่อุตส่าห์นั่งรอ

 

“เจฟบอกว่าให้ฉันกับคุณเตรียมกันก่อนว่าจะวางท่าไหนบ้าง เขากับทีมงานจะต้องจัดแสงกับฉากกันอีกพักใหญ่ คุณจำที่เจฟบอกคุณได้หรือเปล่าคะ”

 

กานต์ชนิตพยักหน้าอีกครั้ง “ได้ยินว่าคุณเคยถ่ายในชุดว่ายน้ำกับที่นี่มาก่อนแล้ว แต่คุณคงรู้ว่าเซ็ตนี้ไม่เหมือนทุกที คือคุณและฉันจะต้องถ่ายโดยไม่มีเจ้าขาวสองชิ้นนี่” คนพูดคีบสายบิกินี่สีขาวของหล่อนและกานต์ชนิตพร้อมกับหัวเราะ เธอน่ะรู้รายละเอียดมาตั้งแต่ก่อนรับงานแล้ว และคิดว่าถ่ายกับผู้หญิงอีกอย่างจากปากรุ่นพี่บอกต่อว่าทีมงานนิตยสารแห่งนี้ไว้ใจได้ จึงไม่คิดว่าหนักหนา แต่พอมาเจอผู้หญิงคนตรงหน้า เธอจะคิดว่าไม่หนักหนา ก็คงจะยากสักหน่อย ถอนหายใจหนึ่งทีไล่ความไม่สบายใจ ก็ส่งยิ้มว่าพร้อมแล้วให้กับหล่อนทันที หล่อนจึงได้ยิ้มและพากันเดินไปสู่ห้องพูลวิลล่าริมสระน้ำ

 

เจฟสั่งการจัดท่าทางนางแบบให้เอนพิงกันบนเบาะบริเวณขอบสระ แล้วเริ่มถ่าย วิวพระอาทิตย์ลับเส้นขอบฟ้าดูเวิ้งว้างสวยงามจับตา การถ่ายดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตอนที่ต้องลงสระ กานต์ชนิตบอกตัวเองว่าไม่อายๆ เพราะบิกินี่สีขาวที่เปียกน้ำมองเห็นอะไรต่ออะไรมากกว่าตอนไม่เปียก แล้วยิ่งสายตาดันไปสะดุดที่คนข้างกาย เธอยิ่งดึงสายตาหนีแทบไม่ทัน กลับตัวตอนนี้ซะดีไหมเนี่ย

 

“ใจร่มๆ ดีกว่าค่ะคุณกานต์ นี่เหลือแค่ตากล้องสองคนกับทีมงานผู้หญิงอีกสองคนเอง ไม่มีใครแอบดูเราแล้วค่ะ”

 

ก็แปลกดีที่เสียงเรียบๆ ของอีกฝ่ายทำให้อาการร้อนผะผ่าวเพราะความเขินอายจางลง เสียงตากล้องสั่งการให้เอนกายหันมุมนั้นมุมนี้และถ่ายตามไปด้วย ท่าทางของตากล้องนั้นเคร่งเครียดทำให้เธอต้องเพิ่มความจริงจังกว่าเดิม

 

“เอาล่ะ ฉากสุดท้ายแล้ว คุณกานต์หันหน้ามาทางนี้ครับ พริ้งอยู่ด้านหลัง ครับถอดเลยครับ อุ๋มกับเก๋ ช่วยพี่เค้าหน่อยซิครับ เร็วๆ ครับแสงจะหมดแล้ว”

 

บิกินี่สีขาวของคนด้านหลังส่งให้น้องทีมงานสองคนที่ยืนรอด้านข้าง เธอจึงจำเป็นต้องถอดตามบ้างแต่ก็ไม่กล้าได้แต่รีๆ รอๆ มองตากล้องที่จัดแสงหน้าเคร่งก็ถอนหายใจ ปลดสายออก พอดีกับที่อ้อมแขนของคนด้านหลังสอดเข้ามาแทนที่บิกินี่ตัวขาวที่หลุดออกไป กานต์ชนิตรู้สึกว่าเลือดลมวิ่งพล่าน ร้อนผะผ่าวทั้งใบหน้าและเนื้อตัว เธอเข้าใจว่าคนด้านหลังต้องการช่วยแก้เขินให้เธอ แต่เธอไม่เคยถ่ายแบบแล้วโดนใครแตะเนื้อต้องตัวมากมายขนาดนี้มาก่อนนี่นา

 

“คุณกานต์ แดงไปไหมครับ เอ้ย พีทแป้งหน่อยซิ พริ้งช่วยพี่เค้าหน่อย เร็วๆ เดี๋ยวฟ้าจะมืด วู้ย แบ้งค์ แกวางกล้องก่อน ช่วยเพิ่มแสงให้ฉันหน่อยดิ”

 

พริ้งแพรวพรรณรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกดดันเป็นอย่างมากกับความรีบเร่งของทีมงานจึงกระซิบบอก “คุณกานต์หลับตาก่อนค่ะ แล้วค่อยๆ หายใจเข้าออกนะ คิดซะว่าพวกนี้เป็นต้นมะพร้าวต้นปาล์มไปเถอะค่ะ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”

 

“ฉัน… ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นต้นไม้แล้ว แต่มันก็ยัง…”

 

“ฉันเข้าใจค่ะ แต่คุณไม่ได้อยู่คนเดียวนี่ ฉันก็ถอดเท่าคุณ” เสียงหัวเราะแผ่วในลำคอทำให้คนฟังหันหน้ามาตั้งท่าเถียง “แต่ฉันอยู่ข้างหน้านี่ เธออยู่ข้างหลัง”

 

“อ้าวก็ฉันก็อุตส่าห์เอาแขนปิดให้แล้วนี่ไงคะ”

 

“ก็เพราะแขนของเธอนั่นแหละ…” กานต์ชนิตบ่นอุบอิบหายไปในลำคอ คนฟังจึงเริ่มเข้าใจอาการเต่งตึงของบางอย่างเสียดสีกับแขนของเธอ จึงส่งยิ้มให้

 

“ฉันไม่ถือหรอกค่ะ ฉันชินแล้ว” คนพูดแอบส่งซิกกับตากล้องที่พึมพำเป็นคำว่าให้ชวนหล่อนคุยต่อไป ชัทเตอร์ก็เริ่มกดแชะๆ ทันรับกับใบหน้าบึ้งตึงของคนด้านหน้า

 

“อย่าขยับนะ ไม่งั้นละฉันปล่อยแขน ได้ภาพหลุดละตัวใครตัวมัน”

 

กานต์ชนิตจึงต้องข่มใจ หันกลับไปทางเดิม พบเจอกับทีมงานก็เบนหน้าหนีอีกคราว แล้วตากล้องก็ได้ภาพที่ถูกใจเมื่อคนหนึ่งมองทะเล ส่วนคนด้านหลังก็หันมองคนด้านหน้า การถ่ายภาพดำเนินต่อไปอีกไม่กี่อึดใจ ตากล้องก็ประกาศเสร็จสิ้น ทำให้กานต์ชนิตแทบจะร้องเฮด้วยความโล่งใจ รีบรับผ้าขนหนูจากทีมงานพันตัวไว้ทันที

 

พริ้งแพรวพรรณรับผ้าและขึ้นจากน้ำตามบ้าง แล้วตรงปราดไปที่ตากล้องเป็นอันดับแรก ขอใช้สิทธิ์ความเป็นนางแบบในสังกัดแอบดูภาพก่อน เมื่อเห็นก็ยิ้มแย้มตะโกนบอกเธอ “คุณกานต์ สวยมากเลยค่ะรูปสุดท้ายเนี่ย”

 

กานต์ชนิตโบกมือเป็นการบอกว่าไม่ดูล่ะ แล้วรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดาให้เร็วที่สุด

 

 

 

…………………………………………………..

 

หมดแล้ว

ที่จริงมีระเกะระกะอีกหลายเวอชั่น แต่เวอชั่นนี้ฟินสุดสำหรับเรา ฮ่าๆ

อ่ะแบ่งให้อ่าน

 

 

 

 

 

พรายในสายลม[Deleted Scene] ก่อนจะเป็นตอน You and Me

 

สวัสดีค่ะ

 

 

หลายวันก่อนคุ้ยไฟล์บางอย่างส่งให้บางคน

ก็เลยบังเอิญไปเปิดไฟล์หนึ่งเข้า แทบลืมไปแล้วว่าเคยเขียนฉากนี้ทิ้งไว้ด้วย ก็เลยเก็บมันมารวมในไฟล์ซีนดีลีทซะให้เป็นเรื่องเป็นราว

 

พอเปิดไฟล์ดีลีทดูก็ตกใจนิดหน่อย เออ เรานี่ก็ใช้พลังสิ้นเปลือง เขียนแล้วลบเขียนแล้วลบ ทบไปทบมาหลายสิบหน้าแล้วค่ะ ก็น่าเสียดายที่จะต้องทิ้งมันไป ไหนๆ ก็ไหนๆ มีไดไว้ทำไมล่า

 

 

การเขียนนิยายยากที่สุดตอนไหน?

สำหรับเราแล้วมันยากตอนเกิดไอเดียซ้อนไอเดีย

 

เช่นว่าไอเดียแรกเรากำหนดว่านายเอไปทางขวา แล้วเดี๋ยวจะให้เลี้ยวซ้ายในลำดับต่อไป

เราเขียนตามคำสั่งตัวเอง โอเคให้นายเอไปขวาแล้ว แต่พอเขียนจบดันรู้สึกว่า เอ๊ยนายเอเดินตรงไปลื่นกว่า จิ้นว่านายเอเดินตรงไปดีกว่า พอเดินๆ นายเอก็จะงง เจอทางตัน

 

จริงอยู่ที่ว่าเราสามารถคิดให้นายเอเดินต่อไปได้ แต่ว่าไอเดียแรกนั้นมันคิดต่อเนื่องไปฉากต่อๆ ไปไว้แล้ว ถ้าเราให้นายเอเดินทางใหม่ตามอารมณ์เราไปเรื่อยๆ เราก็ต้องคิดเส้นทางใหม่ให้นายเออีก

 

ผลก็คือเราต้องมานั่งชั่งใจตัวเอง ว่าเอาทางไหนดีนะถึงจะเหมาะสม แล้วทางไหนที่เราไม่เลือก ก็กลายเป็นซีนดีลีทในที่สุด

 

อันนี้เป็นความสับสนวนเวียนส่วนตัวของนักเขียนคนหนึ่งนะคะ ฮ่าๆ

ฟังแล้วอาจจะว่าเฮ๊ย ทำไมจึงคิดซับซ้อน

 

เราก็จะตอบว่าเพราะเราติสฮะ ความติสมันไม่เข้าใครออกใคร เวลาเราเดินชมนกชมไม้ เรายังอยากออกนอกเส้นทางเลย ไฉนเลยการเขียนนิยายจะแตกต่าง เจออะไรสวยงามน่าไปเข้าหน่อย เราก็อดใจก้าวไปหาไม่ได้

ก็เลยเป็นสาเหตุให้เราแต่งช้าเป็นเต่า ถ้านับวันเปิดกล้องให้เรื่องพรายในสายลม คงร่วมปีครึ่งแล้วค่ะ รู้สึกว่าตั้งแต่แต่งมา จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แฮะ

 

อย่างเช่นตอนแต่งดีพี เราใช้เวลาสี่หรือห้าเดือนเนี่ยแหละ ก็จบละ สี่สิบตอน จำนวนสามร้อยกว่าหน้า

แล้วพอเรื่องสอง แต่งเพียงใจฯ ใช้เวลาสิบเดือนพอดี ซึ่งมองย้อนกลับไปเราว่ามันนานมาก ที่เรางมกับเรื่องเรื่องหนึ่งตั้งสิบเดือน โห ก็บ้าพลังเนอะ

 

พอมาเรื่องนี้… ดูท่าว่าจะชนะเลิศ หนึ่งปีครึ่งนี่ยังได้แค่ครึ่งทาง เราว่าถ้าจบเรื่องนี้แล้วมีเรื่องที่สี่ คงใช้เวลาห้าปีแต่งให้จบแล้วล่ะค่ะ ฮ่าๆ

 

 

เอาล่ะมัวแต่ฝอย เข้าเรื่องที่คุณอยากอ่านดีกว่านะ เราขอแบ่งลงสองตอนแล้วกัน เพราะมันก็ยาวประมาณหนึ่ง เป็นเหตุการณ์ก่อนหน้ากานต์จะกลายเป็นผี เพราะทีแรกเรายังไม่มีไอเดียสำหรับนางเอกของพายชัดเจนนัก

 

เรื่องของพายนั้นชัดเจนหลายเรื่อง เพราะปูมาจากเรื่องคิมปรินอยู่แล้ว แต่ว่านางเอกของพายเป็นของใหม่ที่เราต้องวางพื้นให้หล่อนใหม่ ใครกันควรเป็นผู้ถูกเลือก ผู้หญิงคนไหนดีเหรอ นักเขียนก็ไม่ต่างจากนักอ่านตรงที่อยากเห็นของสวยๆ งามๆค่ะ ก็เลยจิ้นคนสวยๆงามๆใส่ไป นางคงจะเป็นนางแบบดีไหมนะ นางควรได้ถ่ายแบบกับพายในเวอร์ชันพริ้งแพรวพรรณ ว่าแล้วกานต์ชนิตในตัวตนนั้นก็เกิดขึ้นค่ะ

 

แม้ว่าสุดท้ายแล้วกานต์ชนิตคนนี้จะถูกใจเพียงบางส่วน และถูกเปลี่ยนบุคลิกไปเป็นคนดีแสนดีและไม่สวยก็ตาม แต่ความคิดหลายอย่างยังส่งผลถึงอีกหลายตอนหลังๆ เราอ่านทวนแล้วเรายังรู้สึกว่า เออมันกานต์ชนิตคนเดียวกันนั่นแหละ แค่อวตารผิดที่ผิดทางเท่านั้นเอง 55

 

 

 

………………………………………………………………………..

พรายในสายลม[Deleted Scene] ก่อนจะเป็นตอน You and Me

 

งานถ่ายแบบแห่งหนึ่ง

 

กานต์ชนิตหนึ่งในนางแบบนั่งอยู่กับเพื่อนๆ ภายในกระโจมแต่งตัวของนางแบบ งานนี้เป็นของนิตยสารฉบับหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมและเลื่องลือว่าช่างภาพที่นี่ถ่ายภาพสวยและมีคุณภาพ เธอซึ่งเป็นนางแบบได้รับการทาบทามมา คอนเซปงานนี้คือ เซ็กซี่กายแอนด์มายเกิล เป็นการจับนางแบบสาวสวยกานต์ชนิตและพริ้งแพรวพรรณมาประกบคู่กัน พร้อมด้วยนายแบบหนุ่มกีจกร ลูกชายนักธุรกิจและนักการเมืองชื่อดัง

 

กานต์ชนิตไม่ใช่นางแบบโด่งดังที่มีงานล้นมือ เธอเป็นแค่นางแบบเรื่อยๆ งานนี้จึงถึงเป็นโอกาสทองของเธอ แต่ที่เธอไม่ชอบก็คือคอนเซปของงานนี้นี่แหละ ถ่ายกับกีจกรเธอโอเค แต่กับอีกคนนี่สิ พริ้งแพรวพรรณ ว่ากันว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดายังไงน่ะเหรอ ก็หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงน่ะสิ หล่อนถูกคัดเลือกเข้ามาถ่ายแบบคอนเซปนี้เพราะข่าวลือหนาหูว่าหล่อนควงผู้หญิง และให้สัมภาษณ์ว่าหล่อนนั้นเป็นไบ!

 

สมัยนี้คงไม่ต้องอธิบายให้มากความล่ะว่าอะไรคือไบ ไตร เตตระ ที่แน่ๆ คือผู้หญิงคนนี้เหมาะสมกับคอนเซปของงานนี้ที่สุด ถ้าหากว่าเธอไม่เห็นแก่ตัวเลขค่าตัวมหาศาล เธอคงปฏิเสธงานนี้ไปแล้ว

 

กานต์ชนิตกล่าวขอบใจช่างแต่งหน้าพร้อมกับรับชุดกางเกงยีนเอวต่ำกับบิกินี่ท่อนบนเพื่อเข้าห้องเปลี่ยนชุด ช่างภาพต้องการแดดยามสาย นี่ก็ใกล้เวลามากแล้วแต่เธอยังไม่เห็นวี่แววของนางแบบสาวอีกคนหนึ่งเลย อดไม่ได้ทำให้ยิ่งรู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่ยังไม่เคยพบหน้า

 

“กานต์ แต่งตัวพร้อมหรือยัง พี่ตากล้องจะได้เริ่มคุยงานเลย”

 

กานต์ชนิตจัดหมวกตาข่ายบนศีรษะเข้ากับผมดัดลอนได้ก็พยักหน้าตอบพี่ทีมงานซึ่งเป็นหนุ่มร่างเล็กแต่กระฉับกระเฉงพร้อมกับเดินตามไปบนหาดทรายอุ่น เบื้องหน้าเป็นทะเลกว้างสีน้ำเงินเขียวสะท้อนแดดสวยจับตา เธอเดินมาหยุดด้านหลังของผู้ชายคนหนึ่งในเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นแค่เข่า บนหัวมีหมวกแก๊ปใส่กลับด้าน สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาเป็นใครก็คือสายกล้องหนาใหญ่เขียนแบรนด์ติดยาวเป็นแถบพาดทับไปกับไหล่

 

“พี่เจฟ นางแบบมาแล้วนะ จะให้เซ็ตแสงเลยหรือเปล่า”

 

ตากล้องชื่อเจฟถามกลับทันทีโดยยังไม่เงยหน้าจากกล้องตัวโปรด “นางแบบ? พริ้งน่ะเหรอ มาแล้วเหรอ เรียกมาเลยจะได้เริ่มถ่ายกัน”

 

“ไม่ใช่พี่ นี่กานต์ นางแบบอีกคน”

 

“อ้าว”

 

แล้วเขาก็หันหน้าประหลาดใจมองเจ้าหนุ่มร่างเล็ก และมองเลยมายังเธอซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง

 

กานต์ชนิตเพิ่งเคยพบหน้าตากล้อง เธอไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็น “ฝรั่ง”

 

“อ้อ คุณเองเหรอชื่อกานต์ แล้วพริ้งล่ะพี่แกลบ”

 

และเป็นฝรั่งที่พูดไทยได้ชัดเปรี๊ยะจนไม่น่าเชื่ออีกด้วย

 

พี่แกลบทำหน้าเลี่ยน “ยังไม่มา”

 

“อ้าว นี่ก็จะได้เวลาอยู่แล้ว โทรตามหรือยัง”

 

จากนั้นก็เป็นเวลาถกเถียงกันระหว่างตากล้องและพี่แกลบทีมงาน ดูเหมือนเธอจะถูกเรียกมายืนฟังเก้อ ไร้ความสนใจไปจนหมดสิ้น ทีมงานเมื่อได้ยินเสียงโวยวายของตากล้องก็ต่างรีบโทรหานางแบบสาวพริ้งแพรวพรรณกันใหญ่โต และเธอก็ถูกทิ้งให้ยืนตากแดดลำพัง คิ้วเรียวยาวเริ่มขมวดติดกัน ความหมั่นไส้นางแบบคนนั้นทวีคูณจากเมื่อครู่ เธอเดินไปหยุดด้านหลังตากล้องหนุ่ม และเอ่ย

 

“ตกลงคุณจะคุยรายละเอียดกับฉันไหมคะ”

 

ใบหน้ามุ่ยหันมาหาเธอ ก็ทำท่าเหมือนนึกได้จึงได้ยิ้มออกมา “เอ้อ คุยสิครับ”

 

ชายหนุ่มล้วงสมุดส่วนตัวจากในกระเป๋ากล้อง และเริ่มบรรยายให้ฟังว่าเธอควรไปยืนตรงจุดไหน และทำท่าอะไรบ้าง กานต์ชนิตพยักหน้าตามอย่างคนเข้าใจง่าย ถึงเธอไม่ใช่นางแบบคิวยาวค่าตัวสูงอย่างคนอื่น แต่เธอก็มืออาชีพพอ หลังจากเขาอธิบายเสร็จไม่นาน เสียงบรืนของรถคันหนึ่งก็ดังเรียกความสนใจของทีมงานทั้งหมดให้มอง รถเก๋งสีขาวเงาวับเบรกเอียดตรงลานจอด พร้อมกับร่างเพรียวสะโอดสะองก้าวออกจากรถด้วยความเร่งรีบ มองหุ่นแต่ไกลก็รู้ว่าหล่อนเป็นใคร กานต์ชนิตแม้จะหมั่นไส้หล่อนอยู่หลายเรื่อง แต่เมื่อมาเห็นกับตาก็อดชมหุ่นของอีกฝ่ายไม่ได้ หล่อนดูดีในเสื้อเชิ้ตสีขาวบางเบาชายข้างหนึ่งปลิวไปกับลมทะเล ชายอีกข้างถูกเหน็บไว้กับเอวกางเกงยีนขาสั้นอวดขาเรียวยาวของเจ้าตัว และรองเท้าส้นเตี้ยที่ดูจะไม่ได้ดั่งใจ จึงได้ถอดออกและเดินเท้าเปล่ามาทางตากล้อง

 

“ฉันมาแล้วๆ”

 

“เกือบสายแล้ว”

 

คนมาใหม่ส่งยิ้มอวดฟันขาวเรียบมีเขี้ยวเล็กแหลมแซมจนดูน่ามองรับกับใบหน้าเรียวและดวงตาสีน้ำตาลส่องประกายระยิบระยับ เข้ากับทรงผมดัดลอนตามสมัยนิยม ทุกอย่างดูลงตัวจนเธออดไม่ได้อีกนั่นแหละ นึกชมในใจ สักพักอคติเจ้าเดิมที่มีกำลังมากกว่าก็เข้ามาแทนที่ดังเดิม

 

“ฉันก็เลยแต่งตัวในรถมาไงล่ะ นี่ชุดนี้เป็นชุดแรกใช่หรือเปล่า”

 

ดูเหมือนหล่อนจะคุยงานกับตากล้องมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเขามองขึ้นลงและพยักหน้า

 

“งั้นก็ดี มาเริ่มกันเลยดีกว่า เอ้อ ลืมแนะนำไปถ้าเธอยังไม่รู้จัก คนนี้คุณกานต์ นางแบบที่จะมาถ่ายคู่กับเธอ”

 

พริ้งแพรวพรรณหันมองเธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลคู่เดิม แต่เธอกลับเห็นประกายอำพันแทรกเป็นริ้วจนทำให้รู้สึกว่าเธอกำลังถูกสำรวจลึกลงไปกว่าที่มองกันอยู่ เธอจึงสบตาคู่นั้นของอีกฝ่ายได้ไม่นานนักด้วยความทำอะไรไม่ถูก และก็กลายเป็นอาการไม่พอใจเล็กๆ ตามประสาคนหวาดระแวงและหมายหัวอีกคนไว้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงปกติ!

 

“สวัสดีค่ะ คุณกานต์”

 

เมื่อพริ้งแพรวพรรณเป็นฝ่ายเริ่มทักก่อนพร้อมยกมือไหว้ เธอจึงจำเป็นต้องรับไหว้อย่างไม่ชิน แหม ก็เธอไม่คิดว่าวงการนางแบบจะมีคนมือไม้อ่อนนี่ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าอายุใครอ่อนหรือแก่กว่ากัน คนเราพออายุเกินยี่สิบถึงสามสิบห้า ก็เห็นหน้าตาเท่ากันหมด

 

“ไม่ต้องสงสัยหรอกค่ะ ตามประวัติแล้วฉันอ่อนกว่าคุณสองปี”

 

กานต์ชนิตหันมองทันใด นี่ตามสืบประวัติกันเลยเชียวเหรอ อีกฝ่ายจึงหัวเราะราวกับรู้ทันความคิด “เอาเป็นว่าเรามาเริ่มทำงานกันดีกว่า เดี๋ยวจะเสียเวลา นะคะ”

 

ตากล้องอมยิ้มน้อยๆ ขณะมองปฏิกิริยาของนางแบบของเขา “อ่ะได้ เริ่มๆ ครึ่งเช้านี้จะเริ่มถ่ายจาก มายเกิลก่อน คุณกานต์ พริ้ง เชิญด้านหน้าได้เลยครับ”

 

กานต์ชนิตท่องไว้ในใจตั้งแต่เริ่มถ่ายว่า นี่เป็นงาน นี่เป็นงาน และเธอจะต้องอดทนไม่คิดอะไร แต่แหม ยิ่งถ่ายตากล้องก็ยิ่งสนุก จากโพสท่าธรรมดากลายเป็นจับมือถือแขน แตะเอว แตะไหล่ ชักลามเป็นโอบ จากโอบเป็นกอด เธอคิดไม่ออกว่าจะปั้นหน้ายิ้มได้ยังไง ดังนั้นบทสรุปจึงเป็นว่า

 

“หยุด หยุดก่อน” ตากล้องทิ้งกล้องลงอย่างแรงจนสายกล้องตึง เขาเดินมาใกล้พร้อมกับขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลมีความยุ่งยากใจ อาการแบบนี้ของตากล้องทำให้ทีมงานทั้งกองเงียบกริบ กานต์ชนิตรู้ทันทีว่างานนี้จะดีจะร้ายขึ้นอยู่กับตากล้องคนนี้ทั้งหมด

 

“คุณกานต์ครับ ไหวไหม ถ้าไม่สบายก็บอกนะฮะ จะได้พักก่อน”

 

“เอ้อ กานต์ไม่เป็นอะไรค่ะ ถ่ายต่อได้”

 

“แต่หน้าคุณกานต์บูดบึ้งตลอดเวลาเลยนะครับ ดูสิ” ไม่พูดเฉย เขายื่นกล้องเลื่อนภาพให้ดูอีกด้วย ปากก็พูดต่อ “ที่ผมบอกเมื่อครู่ไงครับว่าผมขอร่าเริงรับกับแดด แบบมาเที่ยวทะเลกับคนรักอย่างมีความสุข ทำได้ไหมครับ”

 

กานต์ชนิตอดเหลือบมองคนข้างกายไม่ได้ หล่อนก็ยืนมองด้วยสีหน้าปกติ

 

“เอ่อ ทำได้ค่ะ” เธอจำเป็นต้องรับคำหนักแน่นไว้ก่อน แม้จะปกปิดสีหน้าลำบากใจไม่ได้ สายตาเฉียบคมของตากล้องจึงตวัดมองอีกครั้ง

 

“หรือว่าไม่ชอบใจเจ้าพริ้งมัน”

 

เท่านั้น เจ้าพริ้งมัน ก็ร้อง “เอ๊ย ฉันเกี่ยวไรล่ะนายเจฟ”

 

ตากล้องไม่สนใจคำท้วง เอ่ยกับเธอต่อ “ว่ากันตามตรงนะครับ ถ้าคุณกานต์ไม่พอใจอะไรพริ้งจะได้เคลียร์กันตรงนี้เลย เพราะเรายังมีอีกหลายฉากที่ต้องถ่าย ซึ่งต้องแตะต้องตัวกันมากกว่านี้อีกมาก”

 

กานต์ชนิตถอนหายใจ ความเป็นมืออาชีพทำให้เธอใจเย็นลง และตัดอารมณ์ส่วนตัวทิ้งทะเลไปก่อนชั่วคราว

 

“ฉันไม่มีอะไรไม่พอใจค่ะ แค่คงยังไม่ชินกับอากาศร้อนๆ มากกว่า”

 

“ค่อยยังชั่วหน่อย ได้ยินเจฟพูดแล้วฉันก็นึกกลัวว่าคุณจะเกลียดขี้หน้าฉันเลย”

 

ท่าเอามือทาบอกพร้อมกับหน้าตาน่าเห็นใจทำให้กานต์ชนิตนึกด่าตัวเอง เธอไม่น่าเอาความอคติของเธอนำเลย

 

“ฉันเปล่า”

 

ตากล้องจึงหัวเราะได้ เอ่ยทิ้งท้าย “งั้นก็ดีแล้วครับ ค่อยโล่งใจหน่อย นึกว่าคุณกานต์จะไม่ชอบที่เจ้าพริ้งมันชอบผู้หญิงด้วยกันซะอีก ฮ่าๆ โอเคทุกคน เลิกพักได้แล้ว มาถ่ายกันต่อ เอ้ยพีทเติมหน้านางแบบหน่อยเร็ว”

 

กานต์ชนิตเกือบจะกลืนความรู้สึกเหล่านั้นได้แล้วเชียว เธอหันหน้ากลับไป ทันเห็นแววตาวาวๆ ของคนข้างกันก็ชะงัก มองอีกทีสีหน้าหล่อนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสปกติไม่มีอะไรในกอไผ่ จนฝืนยิ้มตอบ

 

“ขอโทษนะคุณพริ้ง”

 

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ คุณกานต์ไม่ต้องคิดอะไร คิดแค่ว่ามาเที่ยวกับน้องสาวก็ได้ค่ะ จะได้สบายๆ นะ”

 

เจ้าตัวให้กำลังใจแล้วยื่นมือให้จับ ซึ่งก็ได้ยินเสียงแชะในทันที รู้ว่าเริ่มต้นการถ่ายอีกครั้ง

 

พริ้งแพรวพรรณยิ้มมองพื้นซ่อนรอยหัวเราะให้พ้นจากสายตาอีกฝ่าย การได้แกล้งถือเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง ยิ่งเห็นแววตากระอักกระอวนของผู้หญิงคนนี้แล้ว เธอยิ่งยิ้มกว้าง และทำให้เจฟเพื่อนของเธอชอบใจใหญ่ กดแชะๆ ไม่ขาดมือ อย่าให้ได้สบตากันนะตาเจฟ เธอรู้ว่าเขาคิดอะไร แววตานั้นมันปิดอาการขำขันไม่มิด

 

พริ้งแพรวพรรณเงยหน้ามองคนโอบบ่าเธอจากด้านหลัง พลางเอนตัวแนบใบหน้ากับบิกินี่สีสดใส เสียงเชียร์จากตากล้องทำให้เธอดึงเอวอีกฝ่ายแน่นเข้าแก้มชนกับความนุ่มหยุ่นจนรับรู้อาการสะดุ้งของอีกฝ่าย จึงได้เงยหน้ามองสีหน้ายิ้มไม่สุดของคนข้างหลัง และส่งเสียงเรียกเบาๆ

 

“คุณกานต์ๆ”

 

กานต์ชนิตก้มลงมอง “รีแลกซ์สิ คุณต้องยิ้ม ไม่ใช่แยกเขี้ยวนะ”

 

แทนที่จะได้รอยยิ้ม เธอกลับได้ตาเขียวๆ ซะนี่ พริ้งแพรวพรรณหัวเราะมือข้างที่ว่างเหนี่ยวคออีกฝ่ายโน้มลง พร้อมกันนั้นก็กดริมฝีปากกดลงตรงแก้มนุ่ม เรียกสีหน้าตกอกตกใจแทบจะทันที เสียงแชะและเสียงหัวเราะของตากล้องช่วยชีวิตให้เธอทำอะไรก็ได้โดยไม่ตาย ดังนั้นหลังจบฉากตรงนี้ เธอจึงรีบใช้ประโยชน์จากขายาวก้าวพรวดๆ ไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อทันที

 

กานต์ชนิตได้แต่ยืนชักสีหน้าอยู่เพียงคนเดียว จนกระทั่งตากล้องและทีมงานส่งเสียงชื่นชมเธอจึงสงบอารมณ์ได้

 

“สวยมากคุณกานต์ พอยิ้มแล้วภาพสวย ดีที่พริ้งส่งอารมณ์เก่ง… เฮ้ย อาร์ทเก็บไฟได้แล้ว เตรียมไปเซ็ตต่อในห้อง” กานต์ชนิตยิ้มรับไม่ทันสุด ตากล้องก็หันไปสั่งการทีมงานเสียแล้ว แต่อาร์ทคนจัดแสงไม่รับคำสั่ง กลับวิ่งหน้าตั้งมาหาเขา

 

………………………

 

 

 

ติดตามต่อวันพรุ่งนี้

 

 

 

Colors of the wind

สวัสดีค่ะ

 

 

 

 

เอ่ก็เพิ่งอัพไปใช่ป่ะ เอ๊ะทำไมอัพบ่อยจัง จะทักงี้ใช่มั้ยล่ะ แต่ว่าวันนี้เฉพาะกิจหน่อย

 

เมื่อตอนเย็นเราเจอปัญหากับงานบางอย่าง ก็เลยทำให้หมกมุ่นนิดหน่อย กลับมาตอนเย็นกะว่าจะเขียนพรายฯต่อ แต่ว่าก็หมดอารมณ์เขียนซะแล้ว

 

อารมณ์นี่ก็เหมือนไข่เหา ทิ้งนานก็ฟีบฝ่อ … เปรียบซะแบบว่าเครียดไม่ออกเลย ฮ่าๆ

 

ทีนี้กลับห้องมาก็เลยออกอาการนอยด์เล็กๆ โชคดีที่ช่วงนี้เป็นปลายร้อนต้นใบไม้ร่วง อากาศก็เลยยังดีมาก เราก็เปิดหน้าต่างรับลมและกลิ่นเคบับ (อิร้านเคบับมันอยู่ถัดไปสองคูหา ดันหันป่องควันมาทางหลังบ้าน ซึ่งห้องเราก็อยู่หลังบ้านพอดีอีก) ผู้คนยังเดินเล่นตากแดดในตอนเย็น เวลาหนึ่งทุ่มกว่าของที่นี่ ก็ไม่เงียบเหงาเกินไปนัก

 

มีเสียงเพลงของห้องไหนไม่ทราบลอยมาตามลม ก็น่าจะเป็นคนกำลังซ้อมดนตรี และก็น่าจะเป็นเครื่องสีชนิดหนึ่ง ไม่ประเภทไวโอลินก็เชลโล่อะไรอย่างงั้น

 

ทีแรกเราก็นอนฟัง คนเล่นกระท่อนกระแท่นในเริ่มแรกแทบจับทำนองไม่ได้ แต่สักพักก็เริ่มเป็นเพลง เออทำนองเริ่มคุ้นหู แต่เรายังนึกไม่ออกว่าเพลงอะไร เพลงมันจะทำนองว่า ฮึ่ม ฮืม หื้มๆ ฮึ่ม หึ่ม ฮืม หึ่ม…

 

งงอ่ะเด่ะ ฮ่าๆ

 

คนเล่นก็เล่นไล่เสียงสูงสลับต่ำ เสน่ห์ของดนตรีสดก็คือ มันจะแปลกไปกว่าฟังจากเพลงจริงในซีดี มันดูมีการสร้างสรรค์แบบใหม่ที่น่าสนใจและน่าติดตามฟัง มีเพี้ยนบ้างดีบ้าง มันมีฟีลลิ่งของการลุ้นเพราะเราจำทำนองได้ เราก็รู้ว่าท่อนต่อไปจะขึ้นยังไง ทีนี้ก็ลุ้นคนเล่นว่าจะเล่นถูกคีย์ไปถึงหรือเปล่า

 

เพลงนี้มีพลังเชียวค่ะ ถึงยังนึกเนื้อไม่ออกก็เหอะ คนเล่นก็ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่กำลังพาไปเที่ยวไหนสักแห่ง ลอยไปตามลมเห็นวิวป่ากว้างๆ เออคนก็อินง่ายดีเนอะ ฟังไปก็เพลินดี

 

พอเขาเล่นจบก็คงหนีไปกินข้าวมั้ง ได้ยินเสียงแกร๊งๆ เราจึงฟังเสียงข้างนอกบ้านต่อ เสียงคนคุยในภาษาที่ไม่เข้าใจ เสียงเด็กเรียกพ่อให้ดูอะไรสักอย่าง เสียงคนคุยกันในร้านอาหาร เสียงเครื่องยนต์รถบนถนนหน้าบ้าน โบสถ์คาทีดาลเคาะระฆัง หรือเสียงหวอของรถฉุกเฉินที่ชอบวิ่งผ่านให้เสียวแก้วหู

 

เราว่าบางทีมันก็ง่ายกับความสบายๆ ที่เรามองไม่เห็น ความสบายที่มีคนชอบบอกว่ามันอยู่ใกล้แค่ใจ ที่จริงมันก็คงไม่ยากจะค้นหาอ่ะ แต่ว่าพอเจอสิ่งเร้ากวนใจบังตาบังอารมณ์ เราก็จะเหมือนคนหน้ามืดตามัวจนลืมวิธีคุ้ยมันออกมาเหมือนกันนะ

 

วันนี้ต้องขอบคุณใครก็ไม่รู้ไม่ทราบชื่อไม่ทราบหน้า มาเล่นดนตรีให้เราฟังฟรีๆ อิอิ โทษทีอัดเสียงไม่ทัน มัวแต่ซาบซึ้งอยู่คนเดียว ก็เลยไปคุ้ยในยูตูบให้แทน จะใกล้ๆ ประมาณนี้แหละค่ะ

 

 

 

Artist: Vanessa Williams
Title : Colors of the Wind
OST. : Pocahontus 

You think you own whatever land you land on 
The earth is just a dead thing you can claim 
But I know ev’ry rock and tree and creature 
Has a life, has a spirit, has a name 

You think the only people who are people 
Are the people who look and think like you 
But, if you walk the footsteps of a stranger 
You’ll learn things you never knew you never knew 

Have you ever heard the wolf cry to the blue corn moon 
Or asked the grinning bobcat why he grinned? 
Can you sing with all the voices of the mountain? 
Can you paint with all the colors of the wind? 
Can you paint with all the colors of the wind? 

Come run the hidden pine trails of the forest 
Come taste the sun-sweet berries of the earth 
Come roll in all the riches all around you 
And, for once, never wonder what they’re worth 

The rainstorm and the river are my brothers 
The heron and the otter are my friends 
And we are all connected to each other 
In a circle, in a hoop that never ends 

Have you ever heard the wolf cry to the blue corn moon 
Or let the eagle tell you where he’s been? 
Can you sing with all the voices of the mountain? 
Can you paint with all the colors of the wind? 
Can you paint with all the colors of the wind? 

How high does the sycamore grow? 
If you cut it down, then you’ll never know 

And you’ll never hear the wolf cry to the blue corn moon 
For, whether we are white or copper-skinned 
We need to sing with all the voices of the mountain 
We need to paint with all the colors of the wind 

You can own the earth, and, still 
All you’ll own is earth until 
You can paint with all the colors of the wind

ใครอยากรู้เนื้อร้อง อ่ะแปะให้

ความหมายเหรอ มีคนแปลเพลงนี้ไว้เยอะเชียว ถ้าอยากรู้ละเอียดถามกู๋ค่ะ แต่ว่าถ้าให้เราสรุป คิดว่าเพลงเค้าสรุปความในสามบรรทัดสุดท้ายล่ะ

คุณจะได้เป็นเจ้าโลก เอ๊ย ครอบครองโลกก็ต่อเมื่อคุณสามารถวาดสีสันไปตามสายลมได้ทั้งหมดนั่นแหละ

อ่ะแปลแล้วก็เหมือนไม่แปล ฮ่าๆ เพราะลมมันพัดไปทุกทีไง ถ้าตามไปเก็บสีเก็บสันทุกความงดงามของโลกได้เท่าลมพัดผ่านไปล่ะก็ คุณก็จะกลายเป็นเจ้าโลกในที่สุด อิอิ

 

แต่ที่จริงลมมันไม่ได้พัดไปใต้น้ำนะเออ 😛